วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2556

[MV]สิ่งที่ดีที่สุด - Nink Kamikaze (นิ้ง)



สิ่งที่ดีที่สุด....คือการได้พบเธอ



เหตุผลที่ชอบเพลงนี้ เพราะเนื้อหาของเพลงมีความหมายดี ทุกครั้งที่ฟังเพลงนี้ทำให้คิดถึงเพื่อนๆ คิดถึงมิตรภาพที่ดี คิดถึงทุกๆ คน ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา ทำให้เรารู้สึกโชคดี ที่เราได้พบกัน ได้รู้จักกัน แม้จะเป็นเพียงเวลาสั้นๆ ที่เราได้รู้จักกัน แต่มันก็คุ้มแล้ว

เธออยากฟังไหม ฉันมีอะไรอยากจะบอก
ที่เธอเคยถาม เฝ้าถามกันเรื่อยมา
มันคือสิ่งไหน ที่ทำให้หัวใจฉันมีค่า
ตลอดเวลาคือสิ่งนี้

เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้หัวใจ
ของฉันมีความสุขใจได้อย่างนี้

สิ่งที่ดีที่สุด คือการได้พบเธอ
ได้ดูแลเธอ ได้รักเธอหมดใจ
อยากบอกเธอซักหน่อย
บอกให้เธอรู้ใจ ว่าโชคดีแค่ไหน
ได้พบคนอย่างเธอ

ได้ยินฉันไหม นั่นคือความในอยากจะบอก
ตลอดเวลาคือสิ่งนี้

เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้หัวใจ
ของฉันมีความสุขใจได้อย่างนี้

สิ่งที่ดีที่สุด คือการได้พบเธอ
ได้ดูแลเธอ ได้รักเธอหมดใจ
อยากบอกเธอซักหน่อย
บอกให้เธอรู้ใจ ว่าโชคดีแค่ไหน
ได้พบคนอย่างเธอ



อินเทอร์เน็ตและการสื่อสารข้อมูล

แอลจีปรับแผนทำตลาดมือถือ ส่ง แอลจี จีทูลงตลาดไทย
วันศุกร์ที่ 6 กันยายน 2556 เวลา 00:00 น.




แอลจี ส่งสมาร์ทโฟนรุ่นเรือธงใหม่ แอลจี จีทู” ลงตลาดไทยปลาย ก.ย.นี้ แย้มราคาไม่ถึง 2 หมื่นบาทพร้อมปรับแผนการทำตลาดโทรศัพท์มือถือใหม่  

นายอนุพันธ์ ภักดีศุภฤทธิ์ หัวหน้ากลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์(ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับแผนการทำตลาดโทรศัพท์มือถือใหม่ ซึ่งที่ผ่านมามีการทำวิจัยแล้วพบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่เห็นว่าแอลจีมีผลิตภัณฑ์ที่ดี ดูแลลูกค้าในส่วนบริการหลังการขายดี แต่ลูกค้ายังเข้าถึงสินค้าได้ยาก จึงจะปรับเปลี่ยนมาเน้นการขายปลีกมากกว่าการขายส่งแบบในอดีต ด้วยการเข้าไปจับมือกับคู่ค้า ทั้งโอปเรเตอร์ และร้านขายอุปกรณ์ไอที รวมถึงพวกร้านตู้โทรศัพท์ ด้วยการเข้าไปให้ความรู้และอบรมพนักงานขายให้สามารถให้ข้อมูลและการใช้งานสินค้ากับลูกค้าได้

ล่าสุด ได้เปิดตัวโทรศัพท์สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ คือ แอลจี จีทู (LG G2) ซึ่งถือเป็นสมาร์ทโฟนเรือธงระดับพรีเมียมของแอลจีในครึ่งหลังของปีนี้ โดยมีหน้าจอขนาด 5.2 นิ้ว เทคโนโลยี ฟูล เอชดี ไอพีเอส ที่ให้สีสันสดใสเสมือนจริง มีเทคโนโลยีป้องกันภาพสั่นไหว กล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ชิพประมวลผล ควอลคอมม์ สแน็ปดราก้อน 800 2.26 กิกะเฮิรตซ์ และแบตเตอรี่ความจุ 3,000 มิลลิแอมป์ ใช้งานได้นาน พร้อมมีการออกแบบปุ่ม Rear Key อยู่ตรงกลางด้านหลังเครื่อง สามารถใช้นิ้วชี้ปรับเพิ่มลดเสียงการสนทนา เข้าโหมดถ่ายรูป พร้อมมีฟีเจอร์ ช่วยเปิดปิดหน้าจอเพียงแค่เคาะ 2 ครั้งบนหน้าจอเบา ๆ รวมถึงมีฟังก์ชั่นใช้งานแทนรีโมตคอนโทรลกับโทรศัพท์ เซตท็อป บ๊อกซ์ ฯลฯ

การเปิดตัวแอลจี จีทูในไทยถือเป็นประเทศแรกในอาเซียน จะเริ่มวางตลาดได้ประมาณปลายเดือน ก.ย.นี้ โดยราคาขายกำลังพิจารณาแต่จะไม่ถึง 2 หมื่นบาทอย่างแน่นอน ซึ่งของลอตแรกที่ได้โควตามา หมื่นเครื่องปรากฏว่ามียอดจองหมดแล้ว วางงบทำตลาดไว้ที่ 60-70 ล้านบาท โดยบริษัทเตรียมที่จะขยายช่องทางจำหน่ายให้ครอบคลุมยิ่งขึ้นโดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่ถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพ อาทิ ภาคอีสาน ภาคใต้ ฯลฯ ซึ่งในปีนี้แอลจี เตรียมที่จะออกสมาร์ทโฟนในระดับพรีเมียมอีกอย่างน้อย 2 รุ่นด้วย



วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Moore’s Law

Moore’s Law

            Moore’s Law คือ กฎที่ถูกตั้งชื่อตาม Gordon E. Moore ผู้ก่อตั้ง Intel อธิบายแนวโน้มของการพัฒนาฮาร์ดแวร์ของคอมพิวเตอร์ในระยะยาว ซึ่งได้ค้นพบในปี  1965 โดยมีหลักการคือ ความเร็วของ CPU จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในทุก ๆ 2 ปี (จากเดิม 18 เดือน) โดยที่ราคาก็ยังลดลงครึ่งหนึ่ง และจะเป็นตามรูปแบบนี้ไปตลอด ซึ่ง Moore’s Law เปรียบเสมือนเป้าหมายในการพัฒนาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่ในปัจจุบันยังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และนี่ก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมาเป็น Nanotechnology ที่เกิดจากการออกแบบเทคโนโลยีให้มีขนาดเล็กลงในหน่วยนาโน ทำให้ Integrated circuit (IC) ที่อยู่ใน CPU มีขนาดเล็กลงและมีความเร็วสูงขึ้น แต่ก็เพราะ Moore’s Law จึงทำให้เกิดข้อจำกัดขึ้นมาว่า ความเร็วมากขึ้นทำให้พลังงานมากขึ้น ดังนั้นความร้อนจึงสูงขึ้นถ้า Moore’s Law ยังเป็นจริงตามนี้จะทำให้ในปี 2020  CPU จะมีความร้อนเทียบเท่ากับความร้อนบนดวงอาทิตย์ แต่ในปัจจุบันนี้มีการออกแบบ CPU รูปแบบใหม่ ซึ่งก็คือ multi core ที่เป็นการใช้แก่น CPU หลาย ๆ ตัวเข้ามาช่วยประมวลผล แทนที่จะเป็นการใช้เพียงแค่ CPU ตัวเดียว จึงทำให้มีประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้น



วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

รหัสแทนข้อมูล

รหัส Ascll


รหัสแอสกี (ASCII) เป็นมาตรฐานที่นิยมใช้กันมากในระบบคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ เป็นคำย่อมาจาก American Standard Code Information Interchange เป็นรหัส 8 บิต แทนสัญลักษณ์ต่าง ๆ ได้ 256 ตัว  เมื่อใช้แทนตัวอักษรภาษาอังกฤษแล้ว ยังมีเหลืออยู่ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ. ได้กำหนดรหัสภาษาไทยเพิ่มลงไปเพื่อให้ใช้งานร่วมกันได้ตามตาราง


รหัส UniCode

                 เป็นรหัสแบบใหม่ล่าสุด ถูกสร้างขึ้นมาเนื่องจากรหัสขนาด 8 บิตซึ่งมีรูปแบบเพียง 256  รูปแบบ ไม่สามารถแทนภาษาเขียนแบบต่าง ๆ ในโลกได้ครบหมด โดยเฉพาะภาษาที่เป็นภาษาภาพ เช่น ภาษาจีนหรือภาษาญี่ปุ่นเพียงภาษาเดียวก็มีจำนวนรูปแบบเกินกว่า 256 ตัวแล้ว
              UniCode จะเป็นระบบรหัสที่เป็น 16 บิต จึงแทนตัวอักษรได้มากถึง 65,536 ตัว ซึ่งเพียงพอสำหรับตัวอักษรและสัญลักษณ์กราฟฟิกโดยทั่วไป รวมทั้งสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ต่าง ๆ ในปัจจุบันระบบ UniCode มีใช้ในระบบปฏิบัติการ Window NT ระบบปฏิบัติการ UNIX  บางรุ่น รวมทั้งมีการสนับสนุนชนิดข้อมูลแบบ UniCode ในภาษา JAVA ด้วย





          ที่มา : http://jantima-ssp.exteen.com/20080212/entry-6



HNUNGRUTAI RITTHISANG แทนด้วยรหัส Ascll ดังนี้

H             0100       1000
N             0100       1110
U             0101       0101
N             0100       1110
G             0100       0111
R             0101       0010
U             0101       0101
T             0101       0100
A             0100       0001
I              0100       1001
SPACE (ช่องว่าง) = (0010 0000) 
R             0101       0010
I              0100       1001
T             0101       0100
T             0101       0100
H             0100       1000
I              0100       1001
S             0101       0011
A             0100       0001                                                                                 
N             0100       1110
G             0100       0111

ใช้พื้นที่จัดเก็บ 21 ไบต์



  

แบบทดสอบบทที่ 3 เรื่อง โครงสร้างและฟังก์ชันการทำงานภายในระบบคอมพิวเตอร์

แบบทดสอบบทที่ 3 เรื่อง โครงสร้างและฟังก์ชันการทำงานภายในระบบคอมพิวเตอร์คลิกที่นี่

วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

บิตตรวจสอบ

บิตตรวจสอบ (Parity Bit)
                ถึงแม้เลขฐานสองที่ใช้ในคอมพิวเตอร์มีอัตราความผิดพลาดต่ำ เพราะมีค่าความเป็นไปได้เพียง 0 หรือ 1 เท่านั้น แต่ก็อาจเกิดข้อบกพร่องขึ้นได้ภายในหน่วยความจำ ดังนั้น บิตตรวจสอบ หรือพาริตี้บิต จึงเป็นบิตที่เพิ่มเติมเข้ามาต่อท้ายอีก 1 บิต ซึ่งถือเป็นบิตพิเศษที่ใช้สำหรับตรวจสอบความแม่นยำและความถูกต้องของข้อมูลที่จะถูกจัดเก็บลงในคอมพิวเตอร์
                สำหรับบิตตรวจสอบ จะมีวิธีการตวจสอบอยู่ 2 วิธีด้วยกัน คือ
1.   การตรวจสอบบิตภาวะคู่ (Even Parity)
2.   การตรวจสอบบิตภาวะคี่ (Odd Parity)

วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ยุคของคอมพิวเตอร์ เหตุการณ์สำคัญๆ จุดเปลี่ยนแปลงเด่นๆ


ยุคของคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์ยุคที่ 1 (1937 - 1953)
คอมพิวเตอร์ในยุคนี้ใช้หลอดสุญญากาศและรีเลย์เป็นอุปกรณ์หลักในวงจรแทนแบบจักรกล โดยหลักการแล้วการทำงานของสวิตซ์ไฟฟ้า  (เปิด-ปิดวงจร) จะมีความน่าเชื่อถือกว่า และการใช้ไฟฟ้านั้นมีความเร็วกว่าการใช้สวิตซ์จักรกลถึง 1000 เท่า แต่หลอดสุญญากาศที่ว่านี้ มีข้อเสียคือต้องการพลังงานมาก อายุใช้งานสั้น และที่สำคัญคือมีขนาดใหญ่ซึ่งถือเป็นความไม่สมบูรณ์ของคอมพิวเตอร์ในยุคนี้ ตัวอย่างเช่นคอมพิวเตอร์ ENIAC ต้องใช้หลอดสุญญากาศถึง 18,000 หลอดต้องการพลังงานไฟฟ้าถึง 140 กิโลวัตต์และหนักถึง 30 ตัน
เครื่องคอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกของโลกคือเครื่องคอมพิวเตอร์ ABC (1937) พัฒนาโดย ดร. จอห์น วี. อทานาซอฟฟ์ (John V Atanasoff) และ คลิฟฟอร์ด เบอรรี่ (Clifford Berry) เครื่องนี้ไม่สามารถใช้โปรแกรมได้ แต่เป็นพื้นฐานสำหรับคอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์แบบฐานสองรุ่นหลัง ๆ
ถัดมาในปี 1943 ได้มีเครื่องคอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์เครื่องที่ 2 คือเครื่องโคโลสซุส เครื่องนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ประโยชน์ในการทหารนั่นคือ ใช้ถอดรหัสสัญญาณลับที่กองทัพเยอรมันใช้สื่อสารกัน ในสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่เครื่องคอมพิวเตอร์โคโลสซุสได้ถูกเก็บไว้เป็นความลับ จนกระทั่งในช่วงหลังปี ค.ศ. 1970 ซึ่งสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดจึงได้รับการเปิดเผย
ต่อมาในปี 1943 J. Presper Eckert และ John V. Mauchly ได้ร่วมมือกันสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่เครื่องแรก เป็นคอมพิวเตอร์สำหรับใช้งานทั่วไปและสร้างได้สำเร็จในปี 1945 เครื่องนี้มีชื่อว่า อินิแอค (ENIAC : Electronic Numerical Integrator and Computer) เครื่องนี้หนัก 30 ตัน ประกอบด้วยหลอดสุญญากาศ 18,000 หลอด กินพื้นที่ถึง 30x50 ช่วงก้าว ใช้กำลังไฟฟ้าถึง 160 กิโลวัตต์ ตอนที่เครื่อง อินิแอคถูกเปิดทำงานครั้งแรกนั้น หลอดไฟฟ้าถึงกับหรี่สลัวทั่วเมืองฟิลาเดลเฟียที่ซึ่งเครื่องนี้ถูกสร้างที่นี่  ENIAC ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในทางทหารเช่นเดียวกันโดยใช้ในการคำนวณตารางการยิงและวิถีกระสุน
ต่อมาทั้งสองท่านได้สร้างเครื่องยูนิแวค (UNIVAC: Universal Automatic Computer) ได้ออกสู่ตลาดเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่ได้ออกแบบมาเพื่อใช้ในด้านการค้าขาย พอเครื่อง UNIVAC ออกมาสู่ตลาด ผู้คนทั่วไปก็เริ่มตระหนักและเห็นความสำคัญของคอมพิวเตอร์ หลังจากได้เห็นผลการทำงานอย่างถูกต้องของการวิเคราะห์การออกเสียงของประชาชนร้อยละห้า จากประชากรทั้งหมด อย่างถูกต้องว่านาย Dwight D. Eisenhower จะเป็นผู้ชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ในการเลือกตั้ง ปี ค.ศ 1953




คอมพิวเตอร์ยุคที่ 2 (1954 - 1962)
ในยุคที่สองของคอมพิวเตอร์นี้ได้มองเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาคอมพิวเตอร์ในทุกระดับของระบบคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่เทคโนโลยีที่จะนำมาสร้างวงจร ไปจนถึงการภาษาในการเขียนโปรแกรมต่าง ๆ เพื่อสร้างโปรแกรมคำนวณทางวิทยาศาสตร์
ค.ศ.1947ได้มีการผลิตทรานซิสเตอร์ขึ้นเป็นครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาและมีการนำทรานซิสเตอร์ใช้เป็นวงจรสวิตซ์ของคอมพิวเตอร์ มีความเร็วในการสวิตซ์ 30 ล้านครั้งต่อวินาที (หรือปัจจุบันเรียกว่า clock หรือความเร็วของ CPU) การสร้างคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 2นี้ใช้ทรานซิสเตอร์และไดโอดเป็นหลักการใช้ทรานซิสเตอร์ทำให้ความเชื่อถือได้ (reliability)สูงขึ้น ทำให้ขนาดของคอมพิวเตอร์เล็กลง และราคาต่ำลง ซึ่งถือเป็นการแก้ปัญหาข้อบกพร่องของคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 1 เหตุผลนี้ ทำให้คอมพิวเตอร์แพร่หลายไปอย่างรวดเร็วในยุคนี้ยังมีความเปลี่ยนแปลงในอีกหลาย ๆด้าน เช่นหน่วยความจำหรือที่เก็บข้อมูลได้เปลี่ยนไปใช้เทปแม่เหล็กซึ่งสามารถเข้าถึงข้อมูลแบบสุ่มได้ (random access memory) แทนแบบเดิมที่ใช้รีเลย์ปรอท
ในยุคนี้การสร้างคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงที่เราเรียกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (supercomputers) คือ Livermore Atomic Research Computer (LARC) และเครื่อง IBM 7030 เพื่อตอบสนองความต้องการในด้านความเร็วในการคำนวณ และเริ่มมีการใช้คอมพิวเตอร์กับการสื่อสาร (network) เป็นต้น
สำหรับทางด้านซอฟต์แวร์ได้มีภาษาระดับสูงหลายภาษาเกิดขึ้น ในช่วงกลางของยุคที่สอง ภาษาที่สำคัญได้แก่ ภาษาฟอร์แทรน (FORTRAN,1956),ภาษาอัลกอล ALGOL (1958), และภาษาโคบอล (COBOL,1959) เครื่องคอมพิวเตอร์ที่สำคัญคือเครื่อง IBM 704, 709 และ 7094


  

คอมพิวเตอร์ยุคที่ 3 (ปี ค.ศ. 1963 - 1972)
นวัตกรรมในยุคนี้คือมีการใช้แผงวงจรรวมหรือ IC : Integrated Circuit (IC ได้ถูกคิดค้นขึ้นมาในปี 1958) ในการสร้างคอมพิวเตอร์ IC เป็นทรานซิสเตอร์หลาย ๆ ตัวต่อกันเป็นวงจรอยู่บนแผ่นสารกึ่งตัวนำ (semi-conductor) เช่น แผ่นซิลิกอน ซึ่งเป็นแผ่นบางขนาดเล็ก จึงนิยมเรียกว่าเวเฟอร์ (wafer) การใช้ IC ในคอมพิวเตอร์นี้ ทำให้คอมพิวเตอร์ในยุคนี้มีความสามารถในด้านการคำนวณสูงขึ้น มีความเชื่อถือได้สูงขึ้น และมีขนาดเล็กลง
นอกจากนี้ในยุคนี้หน่วยความจำก็เปลี่ยนมาใช้สารกึ่งตัวนำ และมีการสร้างระบบปฏิบัติการขึ้น และมีการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ อาจกล่าวได้ว่า การสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์เป็นจุดเด่นที่สำคัญที่สุดจุดหนึ่งของคอมพิวเตอร์ในยุคนี้




 



คอมพิวเตอร์ยุคที่ 4 (ปี ค.ศ. 1972 - 1984)
IC ได้ถูกพัฒนาให้มีความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์สูงขึ้นเรื่อย ๆ จากบรรจุทรานซิสเตอร์ไม่กี่ร้อยตัว เป็นหลายพันหลายหมื่นตัว ซึ่งเรียกว่า LSI(Large Scale Integrated Circuit: ภายในมีทรานซิสเตอร์มี 1000 ตัว ต่อชิพหนึ่งตัว) และ VLSI(Large Scale Integrated Circuit: ภายในมีทรานซิสเตอร์มี 100,000 ตัว ต่อชิพหนึ่งตัว) เมื่อมีการใช้ LSI และ VLSI ในคอมพิวเตอร์ ทำให้คอมพิวเตอร์ในยุคนี้มีขนาดเล็กมาก หน่วยการทำงานของคอมพิวเตอร์ต่างๆ ได้แก่ หน่วยประมวลผล หน่วยความจำ ส่วนควบคุมอินพุต/เอาท์พุต สามารถรวมอยู่บนแผ่นชิพเล็ก ๆ เพียงตัวเดียวได้
ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ในยุคนี้ที่สำคัญได้แก่การพัฒนาภาษาโปรลอก Prolog (Programming inLogic) ซึ่งเป็นภาษาที่เหมาะสำหรับเขียนโปรแกรมทางด้านปัญญาประดิษฐ์ และสำหรับภาษาอื่น ๆ ก็ได้มีการพัฒนาคอมไพเลอร์ ตัวแปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่อง) ให้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ได้มีการพัฒนาภาษา   และระบบปฏิบัติการ   UNIX โดยเค็น ทอมสัน (Ken Thompson) และเดนนิส ริชชี (Dennis Ritchie) ในห้องปฏิบัติการ Bell ซึ่งถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญมาก พวกเขาได้ใช้ภาษา C ที่สร้างขึ้น สร้างระบบปฏิบัติการ UNIX สำหรับเครื่อง DEC PDP-11 จากนั้น UNIX ก็เป็นที่แพร่หลายอย่างรวดเร็ว เพราะถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์เป็นอิสระจากการที่ต้องเรียนรู้ระบบฮาร์ดแวร์ของคอมพิวเตอร์ทุกครั้งที่จะใช้คอมพิวเตอร์เครื่องใหม่
เมนเฟรมคอมพิวเตอร์และคอมพิวเตอร์สถานีงาน (workstation) ก็ได้รับการพัฒนาขึ้นในยุคนี้เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการมีระบบ time-sharing คือแบ่งปันเวลาในการใช้งานหน่วยประมวลผล เนื่องจากเครื่องคอมพิวเตอร์เหล่านี้สามารถมีผู้ใช้หลาย ๆ คนใช้งานพร้อมกันได้ โดยเครื่องที่ผู้ใช้ใช้ในการป้อนข้อมูลและรับผลการประมวลผลเรียกว่าเครื่อง    client ผู้ใช้ส่งข้อมูลมาประมวลผลที่คอมพิวเตอร์หลักที่เป็นเมนเฟรมหรือ workstation นี่เองเป็นที่มาของคำว่า workstation หรือสถานีงาน



คอมพิวเตอร์ยุคที่ 5 (ปี ค.ศ. 1984 - 1990)
การพัฒนาคอมพิวเตอร์ในยุคนี้เน้นในด้านการประมวลผลแบบขนาน (parallel processing) โดยมองเห็นรูปแบบการที่มีตัวประมวลผลหลาย ๆ ตัวช่วยกันประมวลผลพร้อมกันเพื่อเพิ่มความเร็ว
การพัฒนาด้านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ทั้งเครือข่ายระยะไกล (WAN: Wide Area Network) และเครือข่ายระยะใกล้ (LAN: Local Area Network) เป็นไปอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ได้มีเทคโนโลยี RISC (reduced instruction set) เป็นสถาปัตยกรรมของไมโครโพรเซสเซอร์ที่ใช้คำสั่งสั้นและเป็นพื้นฐานกว่า CISC (complex instruction set computing) โดยทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นด้วย


 


คอมพิวเตอร์ยุคที่ 6 (ปี ค.ศ. 1990 - ปัจจุบัน)

ที่ผ่านมาทั้ง 5 ยุค พัฒนาการของคอมพิวเตอร์จะเป็นไปในทางการปรับปรุงการผลิต และการเสริมสร้างความสามารถทางด้านการคำนวณของคอมพิวเตอร์เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นการจำกัดความสามารถทางด้านการป้อนข้อมูล ในปัจจุบันความต้องการทางด้านการป้อนข้อมูลอย่างอิสระ โดยใช้เสียงและภาพ ซึ่งถือเป็นการป้อนข้อมูลโดยธรรมชาตินั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ ความต้องการคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ที่ไม่เป็นเพียงแต่เครื่องคำนวณ จึงสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความต้องการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในการแก้ปัญหาสังคม เศรษฐกิจ อุตสาหกรรม เทคโนโลยี การติดต่อระหว่างประเทศและอื่น ๆ ในช่วงทศวรรษปี 1990 เช่น
       1) การพัฒนาด้านการผลิตของอุตสาหกรรม การตลาด ธุรกิจ      
       2) การพัฒนาทางด้านการติดต่อสื่อสารระหว่างประเทศ
       3) การช่วยเหลือทางด้านการประหยัดพลังงาน
       4) การแก้ไขปัญหาของสังคม การศึกษา การแพทย์
ความสามารถที่คอมพิวเตอร์ยุคที่ 6 ควรจะมี อาจแบ่งได้ดังนี้
   1) การพัฒนาปัญญาให้คอมพิวเตอร์ เพื่อที่จะสามารถนำไปใช้เป็นผู้ช่วยของมนุษย์ได้ สำหรับการพัฒนาด้านปัญญาของคอมพิวเตอร์หรือที่เรียกว่า AI (artificial intelligence) อาจกล่าวได้ว่าเป็นการพัฒนาด้านการป้อนข้อมูลด้วยเสียงและภาพ ความสามารถในการโต้ตอบด้วยภาษาพูด ความสามารถในการเก็บข้อมูลในด้านความรู้และการนำความรู้ไปใช้ การค้นหาความรู้จากข้อมูลมหาศาสล และอื่น ๆ
    2) การลดคว ามยากลำบากในการผลิตซอฟต์แวร์ เป็นการพัฒนาทางด้านการเขียนโปรแกรม พัฒนา ภาษาของโปรแกรมให้ง่ายขึ้น วิธีการติดต่อกับผู้ใช้ และอื่น ๆ
        3) การพัฒนาทางด้านความสามารถ อาจแบ่งย่อย ๆ ได้เป็น
              - การทำให้ขนาดของคอมพิวเตอร์เล็กลง เพื่อให้สามารถพกพาได้ และติดต่อกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้ ทั้งโดยใช้สายและไม่ใช้สาย
              - การพัฒนาด้านความเร็ว และด้านหน่วยความจำให้เหมาะสมกับงานใหม่ ๆ ที่ยากขึ้น ข้อมูลมากขึ้น
              - การพัฒนาคอมพิวเตอร์ ให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับระบบอื่น ๆ ได้
              - การพัฒนาทางด้านความปลอดภัยของข้อมูลและความเชื่อถือได้
จะเห็นได้ว่าการพัฒนาคอมพิวเตอร์ในโครงการคอมพิวเตอร์ยุคที่ 6 จะไม่เน้นทางด้านการคำนวณมากนัก แต่จะเน้นหนักไปที่การจัดการกับข้อมูลที่มนุษย์เข้าใจได้โดยตรงมากกว่า

  

ประวัติความเป็นมาของคอมพิวเตอร์ เหตุการณ์และผลงานที่สำคัญ


ประวัติความเป็นมาของคอมพิวเตอร์


Charles Babbage ได้ทำการออกแบบเครื่อง Difference Engine เมื่อปี ค.ศ. 1822 ซึ่งโครงการดังกล่าวได้รับทุนสนับสนุนและคำอนุญาตจากรัฐบาล เมื่อปี ค.ศ. 1823 แต่อย่างไรก็ตาม เครื่องดังกล่าวของแบบเบจก็สร้างได้ไม่สมบูรณ์แบบ เหตุผลหนึ่งที่แบบเบจตัดสินใจหยุดโครงการพัฒนาเครื่อง Difference Engine เนื่องจากได้ค้นพบความไม่น่าเชื่อถือบางประการในการคำนวณของเครื่องดังกล่าวจนกระทั่งต่อมา แบบเบจก็ได้ทำการพัฒนาเครื่องใหม่ภายใต้ชื่อว่า Analytical Engine ซึ่งประกอบไปด้วยส่วนหน่วยความจำ (Memory Unit) ที่สามารถจัดเก็บตัวเลขและนำไปคำนวณได้ ยิ่งไปกว่านั้น เครื่องดังกล่าวยังสามารถพิมพ์ข้อมูลได้อัตโนมัติ สามารถนำเข้าข้อมูลด้วยบัตรเจาะรู (Punched Cards) และใช้ชุดคำสั่งในการควบคุม เครื่อง Analytical Engine นี้ยังมีฟังก์ชันหน้าที่หลายๆ อย่างเช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์ในยุคปัจจุบัน ดังนั้นแบบเบจจึงถูกขนานนามให้เป็น“บิดาแห่งคอมพิวเตอร์” เป็นต้นมา





            Lady Augusta Ada Byron  เธอเป็นสตรีคนสำคัญคนหนึ่งที่ช่วยออกแบบเครื่องของแบบเบจ อีกทั้งยังได้เสนอแนวคิดและเป็นผู้ที่เขียนโปรแกรมชิ้นแรกเพื่อใช้กับเครื่องดังกล่าว ต่อมาเธอก็ได้ถูกขนานนามให้เป็น“โปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก”นอกจากนี้ก็ยังได้มีการตั้งชื่อภาษาคอมพิวเตอร์ภาษาหนึ่งด้วยการใช้ชื่อของเธอ นั่นก็คือ ภาษาเอด้า (Ada) นั่นเอง




            Herman Hollerith ในปี ค.ศ. 1887 ได้ทำการพัฒนาเครื่อง Tabulating Machines ขึ้น ซึ่งใช้กับบัตรเจาะรู สามารถจัดเรียงบัตรมากกว่า 200 ใบต่อนาที และก็ได้นำมาใช้งานสำรวจสำมะโนประชากรของชนอเมริกันหลายครั้งด้วยกัน และต่อมาในปี ค.ศ. 1896 เฮอร์แมนก็ได้ทำการก่อตั้งบริษัทตนเองขึ้นมาภายใต้ชื่อว่า The Tabulating Machine Company และอีกไม่นานต่อมาก็ได้ทำการรวมบริษัทกว่า 10 แห่งด้วยกันและก่อตั้งบริษัทใหม่ภายใต้ชื่อว่า International Business Machines ซึ่งในปัจจุบันก็คือบริษัทคอมพิวเตอร์ที่มีชื่อเสียงทั่วโลกซึ่งก็คือบริษัท IBM นั่นเอง




            Alan Turing ทัวริง ทำปริญญาโท และปริญญาเอก ที่ศูนย์วิจัย มหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน แล้วเสนอความคิดออกแบบเครื่องจักรทัวริง  (Universal Turing Machine) โดยในยุคนั้น ไม่ได้เรียกว่า คอมพิวเตอร์ แต่เรียกว่าเป็นเครื่องคำนวณ ที่สามารถป้อนข้อมูลได้ และเขาได้สร้างเครื่องเข้ารหัส (cipher machine) โดยใช้รีเลย์แม่เหล็กไฟฟ้า สำหรับคูณเลขฐานสอง ทัวริงทำงานให้กับ "British Cryptanalytic department" รวมทั้งทำงานด้าน"ordinal logic"เพราะเชื่อว่าคนสามารถตอบโต้ต่อเหตุการณ์ได้ โดยไม่ต้องคำนวณ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เขามีส่วนสำคัญในการแกะรหัสลับของฝ่ายเยอรมันโดยเป็นหัวหน้ากลุ่ม Hut 8 เพื่อทำหน้าที่ แกะรหัสเครื่องอีนิกมา (Enigma Cipher Machine) ที่ใช้ในฝ่ายทหารเรือ

หลังสงครามโลก ทัวริงออกแบบ เครื่องคอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ ที่สามารถเขียนโปรแกรมได้เครื่องแรก ๆ ของโลก ที่ห้องปฏิบัติการฟิสิกส์แห่งชาติ และได้สร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นจริง ๆ ที่มหาวิทยาลัย แมนเชสเตอร์ ซึ่งรางวัลทัวริงถูกตั้งขึ้น เพื่อยกย่องเขา

ในปี พ.ศ.2489 ทัวริงคิดโครงการ เครื่องคำนวณ (computation machine) ที่สามารถเปลี่ยนได้ตามใจชอบ จาก numerical work เป็น algebra เป็น code breaking เป็น file handling หรือแม้กระทั่งเกมส์ ปี พ.ศ.2517 ทัวริง เสนอว่าต้องมีระบบจัดเก็บข้อมูล และชุดคำสั่งคอมพิวเตอร์ ต้องขยายตัว เป็นชุดคำสั่งย่อยๆ โดยใช้รูปย่อแบบ รหัสย่อ (ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้น ของภาษาโปรแกรม) แต่ไม่ได้รับการสนับสนุน เขาจึงพักงาน ด้านคณิตศาสตร์ไม่ทำงานด้านเทคโนโลยี แต่เปลี่ยนไปสนใจเรื่อง "neurology" กับ "physiology sciences" และออกบทความเรื่อง "เครือข่ายประสาท"

ต่อมาทีมงานเก่าของทัวริง ที่ย้ายไปอยู่ ที่มหาวิทยาลัย แมนเชสเตอร์ ได้เชิญเขาไปเป็น หัวหน้าภาควิชาใหม่ โดยเน้นงาน ด้านซอฟแวร์ พร้อมกับออกบทความ วิชาการเรื่อง "Computer Machine and Intelligence" ซึ่งนับว่า เป็นรากฐาน ของแนวคิดพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ ในวงการคอมพิวเตอร์ และในปี  พ.ศ.2494 ทัวริงออกบทความเรื่อง "The Chemical Basis of Morphogenesis"

โดยผลงานเด่นๆ ของเขา เช่น การคิดโมเดล ที่สามารถทำงานได้ เทียบเท่ากับคอมพิวเตอร์ ซึ่งใช้คำสั่งพื้นฐานง่ายๆ เพียง เดินหน้า ถอยหลัง เขียนและลบ รวมทั้งรูปแบบที่เป็นทางการคณิตศาสตร์ ของการระบุอัลกอริทึมและการคำนวณ ด้วยเครื่องจักรทัวริง

แอลัน ทัวริง (Alan Turing) บิดาแห่งวิทยาการคอมพิวเตอร์ เสนอบทความเรื่อง "On Computable Numbers with an application to the Entscheidungsproblem" เพื่อใช้ในการตีพิมพ์ เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ.2479




            Konrad Zuse ค.ศ. 1941 เป็นครั้งแรกที่โลกได้มีเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่สามารถตั้งโปรแกรมได้อย่างอิสระ ผู้พัฒนาคือ Konrad Zuse และชื่อคอมพิวเตอร์คือ Z1 Computer
                                    



            Prof. Howard H. Aiken ร่วมมือกับวิศวกรจากไอบีเอ็ม ได้สร้างเครื่อง MARK I ซึ่งเป็นการสานแนวความคิดของแบบเบจได้สำเร็จโดยเครื่อง  MARK I นี้เป็นเพียงเครื่องจักรกลทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electro - Mechanical Machine) ซึ่งสร้างด้วยสวิตช์จักรกลไฟฟ้าที่เรียกว่าตัวรีเลย์ (Electro - Magnetic Relays) และเครื่อง MARK I ได้สร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อปี ค.ศ. 1994





           Dr. John V. Atanasoff & Clifford Berry ศาสตราจารย์ด้านคณิตศาสตร์ ณ Lowa State College พร้อมผู้ช่วยชื่อ คลิฟฟอร์ด เบอร์รี (Clifford Berry) ได้สร้างเครื่องคำนวณที่ใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นเครื่องแรกของโลกภายใต้ชื่อว่าเครื่อง ABC (The Atanasoff-Berry-Computer) โดยใช้หลอดสุญญากาศ (Vacuum Tube) ระบบเลขฐานมีหน่วยความจำและวงจรตรรกะเพื่อใช้กับการคำนวณทางฟิสิกส์ ซึ่งคล้ายกับเครื่องคิดเลขในปัจจุบัน ถึงแม้เครื่อง ABC จะไม่ได้รับการกล่าวขานและใช้งานอย่างจริงจัง แต่ก็ถือเป็นก้าวแรกของเครื่องคำนวณทางอิเล็กทรอนิกส์นับจากนั้นมา


Dr.John V. Atanasoff

  
Clifford Berry


           Dr. John W. Mauchly & J. Presper Eckert ปี ค.ศ. 1946 ดร.จอห์น ดับบลิว มอชลี (Dr. John W. Mauchly) และศาสตรา เจ เพรสเพอร์ เอ็คเคิร์ต (J. Presper Eckert) ได้สร้างเครื่อง ENIAC (Electronic Numerical Integrator And Calculator) ซึ่งเป็นเครื่องที่มีประสิทธิภาพดีกว่าเครื่อง MARK I โดยเครื่องคอมพิวเตอร์ ENIAC จำเป็นต้องใช้ห้องเพื่อติดตั้งที่มีขนาดถึง 30X50 ฟุต ตัวเครื่องมีหลอดสุญญากาศกว่า 18,000 หลอด หนักกว่า 30 ตัน ใช้กำลังไฟฟ้า 150 กิโลวัตต์ บวกเลขได้ 5000 ครั้งต่อวินาที ซึ่งประมวลได้เร็วกว่าเครื่อง MARK I กว่าหนึ่งพันเท่า




            Dr. John Von Neumann ได้สร้าง แนวคิดในการจัดเก็บโปรแกรม (Stored Program Concept)โดยมีหน่วยความจำที่สามารถทำหน้าที่ในการจัดเก็บได้ทั้งข้อมูล (Data) และชุดคำสั่ง  (Instructions) และนอยมานน์ก็ได้ร่วมมือกับทีมงานเดิมที่ได้สร้างเครื่อง ENIVAC เพื่อสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ EDVAC (Electronic Discrete Variable Automatic Computer) และ EDSAC (Electronic Delay Storage Automatic Computer) ซึ่งเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นแรกๆ ที่ใช้ แนวความคิดในการจัดเก็บโปรแกรมเป็นต้นมา



            Dr. Ted Hoff ดร. เท็ด ฮอฟฟ์ (Ted Hoff) แห่งบริษัทอินเทล (Intel Corporation) ได้พัฒนาชิพที่มีขนาดเล็กมาก จึงได้ชื่อว่าไมโครโพรเซสเซอร์ชื่อรุ่นคือ Intel 4004 เป็นหน่วยประมวลผลขนาดเล็กที่สามารถโปรแกรมได้ คอมพิวเตอร์ที่ใช้ชิพขนาดเล็กนี้จึงถูกรียกว่าไมโครคอมพิวเตอร์ด้วย




            Steve Jobs & Steve Wazniak  สตีเฟน แกรี่ วอซเนียก หรือ สตีฟ วอซเนียก บ้างก็เรียก สตีฟ โวสนิแอกชื่อเล่นว่า "Woz"(วอซ) วันเกิด วันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2493 ในแซนโฮรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เป็นบุคคลสำคัญในบริษัทแอปเปิล บริษัทคอมพิวเตอร์ เขาเป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์ผู้ก่อตั้งร่วมกันของแอปเปิลคอมพิวเตอร์ และเป็นผู้สร้างคอมพิวเตอร์ Apple I และ Apple II

ภาพของ Steve Wozniak (คนขวา) และ Steve Jobs 




ปี 1970 วอซเนียกได้รู้จักกับสตีฟ จ๊อบส์เนื่องจากมีงานฤดูร้อนในธุรกิจเดียวกัน และกลายเป็นเพื่อนกันในที่สุดจ๊อบส์และวอซเนียกได้ขาทรัพย์สินบางส่วนได้เงินประมาณ 1,300 เหรียญและได้ร่วมกันประกอบคอมพิวเตอร์ต้นแบบซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของแอปเปิ้ล 1 เมษายน 1976 จ๊อบส์และวอซเนียกก็ได้ก่อตั้ง Apple Computer โดยที่วอซเนียกได้ลาออกจากงานของเขาที่ Hewlett-Packard และทำงานในแผนกการวิจัยและการพัฒนาที่แอปเปิ้ล ผลิตภัณฑ์แรกของพวกเขาคือให้คอมพิวเตอร์ Apple I ในยุคที่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลส่วนใหญ่จะใช้ในเชิงพาณิชย์ โดยจ๊อบส์และว๊อซเนียกได้ขายคอมพิวเตอร์ 100 เครื่องแรกให้กับ Paul Terrell ในการเปิดร้านคอมพิวเตอร์ใหม่ที่มีชื่อว่า Byte Shop ในเมาน์เทนวิว รัฐแคลิฟอร์เนีย

ปี 1980 แอปเปิ้ลเป็นที่โด่งดังและทำให้จ๊อบส์และวอซเนียกกลายเป็นมหาเศรษฐี โดยสตีฟ จ๊อบส์ได้อนุญาตที่จะให้พนักงานบางส่วนของได้ซื้อหุ้นของ  Apple ดั้งนั้นวอซเนียกจึงตัดสินใจที่จะแบ่งหุ้นส่วนหนึ่งของตนออกไปปี   1983 เขาตัดสินใจกลับไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้กับแอปเปิ้ล แต่เขาไม่ต้องการบทบาทในบริษัทฯมากไปกว่าของวิศวกรคอมพิวเตอร์วอซเนียกได้สิ้นสุดการเป็นพนักงานจ้างเต็มเวลากับ Appleในวันที่ กุมภาพันธ์ 1987 เป็นเวลากว่า 12 ปีหลังจากการก่อตั้งบริษัท แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการบริหารบริษัท 


            Bill Gates   ประวัติ บิลล์ เกตส์ [ผู้ก่อตั้ง บริษัทไมโครซอฟท์] วิลเลียม เฮนรี เกตส์ ที่สาม (เกิด 28 ตุลาคม ค.ศ. 1955) หรือที่มักเป็นที่รู้จักในชื่อ บิลล์ เกตส์) X เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกัน และหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ เขากับผู้บุกเบิกด้านคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลคนอื่น ๆได้ร่วมกันเขียนต้นแบบของภาษาอัลแตร์เบสิกซึ่งเป็นอินเตอร์เพรเตอร์สำหรับ เครื่องอัลแตร์ 8800 (เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในยุคแรกๆ) เขาได้ร่วมกับนายพอล อัลเลน ก่อตั้งไมโครซอฟท์ คอร์ปอเรชันขึ้นซึ่งในขณะนี้เขาดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหาร และหัวหน้าสถาปนิกซอฟต์แวร์ นิตยสารฟอบส์ได้จัดอันดับให้   บิลล์ เกตส์ เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกหลายปีติดต่อกัน, วิลเลียม เฮนรี เกตส์ ที่สามได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการอัศวินแห่งจักรวรรดิบริเตน (KBE) จากสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2